ปภ.ประสานทุกภาคส่วนบูรณาการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ลดผลกระทบภาวะขาดแคลนน้ำ

 
 

กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทยบูรณาการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งผ่านกลไกระบบบัญชาการเหตุการณ์เชื่อมโยงการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งวางระบบบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ และวางแผนจัดสรรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกภาคส่วน พร้อมดูแลทุกครัวเรือนให้มีน้ำอุปโภคบริโภคเพียงพอ 

นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า แม้ในปี พ.ศ. 2564 ประเทศไทยจะมีปริมาณฝนมากกว่าปกติ แต่สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำและแม่น้ำสายหลักมีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้อย เนื่องจากในช่วงปี
พ.ศ. 2562 – 2563 มีปริมาณฝนน้อยกว่าค่าปกติอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หลายพื้นที่ของประเทศมีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร รัฐบาลห่วงใยประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง จึงได้สั่งการให้กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย บูรณาการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างเป็นระบบ ภายใต้กลไกระบบบัญชาการเหตุการณ์ตามกฎหมายและแผนว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มุ่งบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดผ่านกลไกหลักแก้ไขปัญหาภัยแล้งใน 3 กลุ่มภารกิจ ดังนี้  1.กลุ่มพยากรณ์ ทำหน้าที่ตรวจสอบสภาพอากาศ ปริมาณน้ำท่า และสถานการณ์น้ำในแหล่งเก็บน้ำต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์และประเมินปริมาณน้ำต้นทุนและความต้องการใช้น้ำ 2.กลุ่มบริหารจัดการน้ำ ทำหน้าที่วางแผนการจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำและครอบคลุมการใช้น้ำทุกประเภท ทั้งการอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศน์ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม รวมถึงกำหนดแนวทางการระบายน้ำและสำรองน้ำไว้ใช้ประโยชน์ 3.กลุ่มปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ บูรณาการฝ่ายพลเรือน หน่วยทหาร และภาคเอกชนจัดเตรียมกำลังคน วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องจักรกล ด้านสาธารณภัยให้พร้อมปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำ โดยแบ่งพื้นที่รับผิดชอบและมอบหมายภารกิจอย่างชัดเจน ควบคู่กับการจัดหน่วยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยง

นายบุญธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้ง 3 กลุ่มภารกิจหลักแก้ไขปัญหาภัยแล้งจะได้ขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งเชิงพื้นที่อย่างรอบด้านใน 5 แนวทาง ได้แก่

1) การทบทวนแผนเผชิญเหตุภัยแล้งระดับจังหวัด เพื่อวางแผนบูรณาการแก้ไขปัญหาภัยแล้งภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประสานฝ่ายปกครองและหน่วยทหารในพื้นที่สร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์น้ำและแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง เพื่อป้องกันปัญหาการแย่งชิงน้ำ

2) การจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคให้เพียงพอ โดยสำรวจและจัดทำบัญชีพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำครอบคลุมถึงระดับหมู่บ้านและชุมชน พร้อมประสานโครงการชลประทาน การประปาส่วนภูมิภาค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแนวทางรับมือให้สอดคล้องกับความเสี่ยงภัยและสภาพพื้นที่ ทั้งการจัดทำแหล่งสำรองน้ำดิบ แผนการวางท่อน้ำประปา แผนการผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำโดยตรง แผนการจัดสรรน้ำดิบ

3) การบูรณาการแก้ไขปัญหาน้ำเพื่อการเกษตร โดยดำเนินการตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้านการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง ปี พ.ศ.2563/64 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวมถึงกำหนดมาตรการลดผลกระทบกรณีไม่สามารถสนับสนุนน้ำเพื่อการเกษตร อีกทั้งประสานการปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่การเกษตรและพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งในช่วงที่สภาพอากาศเอื้ออำนวย เพื่อเติมน้ำในแหล่งกักเก็บน้ำให้ได้มากที่สุด

4) การกำหนดแนวทางการใช้น้ำเพื่อการรักษาระบบนิเวศ เฝ้าระวังและคุมเข้มไม่ให้มีการปล่อยน้ำเน่าเสียลงสู่แหล่งน้ำต่างๆ เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำดีไล่น้ำเสีย ควบคู่กับการส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมจัดการน้ำเสียตามหลัก 3 R (Reduce : Reuse : Recycle) รวมถึงสำรวจเส้นทางคมนาคมเลียบคลอง ลำน้ำ หรือแม่น้ำ เพื่อวางมาตรการป้องกันการพังทลายของตลิ่ง 5) การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับปัญหาภัยแล้ง ทั้งข้อมูลสถานการณ์น้ำ และมาตรการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐ ควบคู่กับการรณรงค์การใช้น้ำอย่างประหยัดรวมถึงส่งเสริมให้ประชาชนจิตอาสาในพื้นที่มีส่วนร่วมในการก่อสร้างและซ่อมแซมแหล่งกักเก็บน้ำขนาดเล็ก

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *