กรมควบคุมโรค เน้นย้ำมาตรการความปลอดภัย 6-6-7 แนะนักเรียน นักศึกษา ไม่ถอดหน้ากากอนามัย ไม่ลืมตรวจ ATK ไม่นั่งติดกัน ลดความเสี่ยงโควิดในสถานศึกษา
วันนี้ (5 พฤศจิกายน 2564) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้มีโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเรียนรูปแบบ On Site ในวันที่ 1 พฤศจิกายนแล้ว กว่า 12,000 แห่งทั่วประเทศ และจะทยอยเปิดเรียนมากขึ้นตามความพร้อม จึงต้องเน้นย้ำเรื่องมาตรการความปลอดภัย 6-6-7 เพื่อลดความเสี่ยงโควิดในสถานศึกษา ประกอบด้วย 6 มาตรการหลัก (DMHT-RC) เว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก ล้างมือ คัดกรองวัดไข้ ลดการแออัด และทำความสะอาด 6 มาตรการเสริม ดูแลตนเอง ใช้ช้อนกลางส่วนตัว กินอาหารปรุงสุกใหม่ ลงทะเบียนเข้าออกโรงเรียน สำรวจตรวจสอบ และกักกันตัวเอง ส่วนแนวทาง 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษา 1.ประเมิน TSC+ และรายงานผลผ่าน MOE COVID อย่างต่อเนื่อง 2.Small Bubble ทำกิจกรรมแบบกลุ่มย่อย 3.อาหารตามหลักสุขาภิบาลอาหารและหลักโภชนาการ 4.อนามัยสิ่งแวดล้อม ทั้งอากาศ ความสะอาด น้ำ ขยะ 5.School Isolation มีแผนเผชิญเหตุและซักซ้อม 6.Seal Route ดูแลการเดินทางจากบ้านไปโรงเรียน และ 7.School Pass สำหรับนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษาได้รับวัคซีนจำนวนมากที่สุดอย่างน้อย 85%
“ในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ไปเรียนในโรงเรียน พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรเน้นย้ำกับบุตรหลานว่า ไม่ควรถอดหน้ากากอนามัย ไม่ลืมตรวจ ATK ไม่เล่นเป็นทีมหรือกลุ่มใหญ่ ไม่นั่งติดกันทั้งเวลาเรียน คุยเล่น ทานข้าว และไม่ใช้สิ่งของร่วมกัน สำหรับการเรียนภายในห้องเรียนต้องไม่เกิน 25 คนต่อห้อง รวมถึงไม่เปิดแอร์เรียนนานเกิน 2 ชั่วโมง ต้องมีการเปิดหน้าต่างระบายอากาศ หากทุกคนในสถานศึกษาร่วมมือร่วมใจทำตามมาตรการอย่างเคร่งครัดก็จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อโควิด 19 ในสถานศึกษาได้ และเมื่อลูกหลานกลับมาถึงบ้านแล้ว ควรรีบล้างมือ อาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกาย อีกทั้งยังต้องเฝ้าสังเกตอาการทุกวัน หากคนในครอบครัวสงสัยว่าติดเชื้อโควิด 19 ให้รีบตรวจ ATK พร้อมกักตัวเองแยกออกจากคนในบ้าน หากสงสัยว่าติดเชื้อโควิด 19 สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422” นายแพทย์โอภาส กล่าว
นายแพทย์โอภาส กล่าวต่อไปว่า สำหรับสถานการณ์การฉีดวัคซีนโควิด 19 ในเด็กนักเรียน นักศึกษา อายุ 12-17 ปี ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ป้องกันโควิด 19 เข็มแรกแล้ว 2,493,957 คน หรือร้อยละ 55.4 เข็มที่สอง 606,942 คน หรือร้อยละ 13.5 จากเป้าหมาย 4,500,000 คน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะฉีดวัคซีนไปแล้ว แต่ก็ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันส่วนบุคคลขั้นสูงสุดแบบครอบจักรวาลควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้การป้องกันควบคุมโรคเกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด
*************************
ข้อมูลจาก : สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2564