
วันที่ 18 กันยายน 2568 ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย นพ. รุ่งเรือง กิจผาติ อวศ.รรท.เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยระหว่างการเข้าร่วมการประชุมใหญ่ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA General Conference) ครั้งที่ 69 ว่า ได้เข้าร่วมการกล่าวถ้อยแถลงของ รศ.ดร.กฤศณัฏฐ์ เชื่อมสามัคคี ผู้แทนจากศูนย์ IAEA Anchor Centre ประเทศไทย ภายใต้การดำเนินการของคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล (Ramathibodi–IAEA Anchor Centre) ในการประชุมใหญ่ประจำปี (IAEA General Conference) ครั้งที่ 69 ณ สำนักงานใหญ่ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ทั้งนี้ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวง อว. ได้ขับเคลื่อนการยกระดับศักยภาพรังสีรักษา เดินหน้า “Ramathibodi–IAEA Anchor Centre” พร้อมสร้างความร่วมมือกระทรวงสาธารณสุข ให้การดูแลผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มการเข้าถึง ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ

เนื่องจากสถานการณ์โรคมะเร็งในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยพบผู้ป่วยใหม่เฉลี่ย วันละ 500 คน หรือราว 182,500 คนต่อปี จากข้อมูลดังกล่าวประมาณ ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยต้องเข้ารับการฉายรังสีรักษา หรือราว 42,000–70,000 คนต่อปี แต่ปัจจุบัน อุปกรณ์ฉายรังสีมีจำนวนจำกัด ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติจึงเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมี ศ. คลินิก นพ.อาทิตย์ อังกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และ ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรด้านรังสีรักษาอย่างเป็นระบบความร่วมมือนี้นำไปสู่การได้รับการแต่งตั้ง จากทบวงการปรมาณูเพื่อสันติ (IAEA) จาก Ramathibodi–IAEA Anchor Centre ให้เป็น IAEA Collaborating Centre–Anchor Centre ซึ่งถือเป็นศูนย์ Anchor แห่งที่ 4 ในเอเชียแปซิฟิก และแห่งที่ 10 ของโลก โดยศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็น ศูนย์กลางฝึกอบรม ถ่ายทอดความรู้ และยกระดับมาตรฐานด้านรังสีการแพทย์ ครอบคลุมรังสีรักษา เวชศาสตร์นิวเคลียร์ รังสีวิทยา และฟิสิกส์การแพทย์

นอกจากนี้ ศูนย์ยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “Rays of Hope” ของ IAEA ซึ่งมีเป้าหมายช่วยประเทศสมาชิกเพิ่มขีดความสามารถด้านการวินิจฉัยและการรักษาโรคมะเร็ง ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ทันสมัยทั่วโลก


นพ. รุ่งเรืองกล่าวเพิ่มเติมว่า “การได้เป็นศูนย์ Anchor Centre ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยไทยเข้าถึงการรักษาที่ปลอดภัยและมีคุณภาพมากขึ้น แต่ยังสร้างความมั่นคงด้านบุคลากร เทคโนโลยี และมาตรฐานรังสีการแพทย์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างยั่งยืน และอยู่ในช่วงการดำเนินการขยายการดำเนินงาน ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข สถาบันมะเร็งแห่งชาติกรมการแพทย์ และสำนักงานปลัด กระทรวงสาธารณสุข ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมเพิ่มโอกาสการเข้าถึงของผู้ป่วยมะเร็ง ในพื้นที่ห่างไกลทั่วทั้งประเทศต่อไป หากสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนด จะทำให้เกิดการรักษาโรคมะเร็งด้วยรังสีรักษาที่มีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้ป่วยมะเร็งต่อไป