
เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2568 ที่ผ่านมา นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ภายหลังปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ทิศทางการเปลี่ยนแปลงกระทรวงแรงงาน ภายใต้การเปลี่ยนแปลง” ในงานสัมมนาเรื่อง “แรงงานไทย ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง” ซึ่งจัดขึ้นโดย คณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับ คณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย และมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ประเทศไทย ณ ห้องประชุมสัมมนา B1 – 1 ชั้น B1 อาคารรัฐสภา ว่า ปัญหาและความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องและส่งผลกระทบต่อคนไทยทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในระบบแรงงานของประเทส ที่อาจต้องเผชิญกับสถานการณ์การว่างงานเพราะเทคโนโลยี ( Technological unemployment) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

รมว.แรงงงาน กล่าวว่า นโยบาย 5 ด้านที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่ช่วงที่เข้ามารับตำแหน่ง ถือเป็นนโยบายที่พิจารณาจากความจำเป็นเร่งด่วนของปัญหา แต่มองว่าสามารถทำได้ในระยะสั้นและเกิดผลในระยะยาว เช่น การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานจากการสู้รบไทย-กัมพูชา เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ, การยกระดับและเพิ่มทักษะ (Up Skill / Re Skill) แรงงานไทยให้ก้าวทันเทคโนโลยี ,การส่งเสริมสวัสดิการแรงงานและความมั่นคงในชีวิต , การสร้างโอกาสให้แรงงานไทยมีงานทำในต่างประเทศ และ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการทำงานเพื่อเน้นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้รับบริการไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนทั่วไป
“ในการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ดิฉันเน้นย้ำว่าต้องทำทุกเรื่องไปพร้อมๆกัน บูรณาการงานร่วมกันในทุกภาคส่วนของกระทรวงแรงงาน เพราะรัฐบาลชุดนี้มีเวลาไม่มาก ทุกอย่างต้องเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด เร็วที่สุด ” นางสาวตรีนุช กล่าว

ทั้งนี้ในวันเดียวกันนี้ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ทิศทางการเปลี่ยนแปลงกระทรวงแรงงาน ภายใต้การเปลี่ยนแปลง” ว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันวางรากฐานแรงงานให้เข้มแข็ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้พร้อมแข่งขันในเวทีโลก ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพและความมั่นคงในชีวิตการทำงานของคนไทย โดยมีปัจจัยสำคัญๆ 4 ด้านหลักๆ คือ 1) โครงสร้างประชากร (Aging Society) ที่ขณะนี้เราได้ก้าวสู่ความเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้ว ในอีกด้านหนึ่ง อัตราการเกิดก็ลดน้อยลงอย่างฉับพลัน ทำให้สัดส่วนประชากรวัยแรงงานลดลง เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ยังคงต้องพึ่งพาแรงงาน 2) ความท้าทายจากเทคโนโลยี ที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามา เป็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของเทคโนโลยี 3) การขาดแคลนแรงงานทักษะ แม้ว่าอัตราการว่างงานโดยรวมจะต่ำ แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรากำลังเผชิญ คือ การขาดแคลนแรงงาน (Labour Shortage) ที่มีทักษะตรงตามความต้องการ และสุดท้าย 4) นโยบายการค้าที่เข้มข้นของสหรัฐฯ ที่ทำให้ไทยได้รับผลกระทบภาษีส่งออกที่เก็บอัตราร้อยละ 19

นางสาวตรีนุช กล่าวว่า และเพราะรัฐบาลนี้จะมีอายุแค่ 4 เดือน ทุกอย่างที่ทำในวันนี้แม้จะเป็นแผนเร่งด่วน แต่จะเป็นการปูทางไปสู่การทำงานในระยะยาว ตนได้เร่งให้มีการใช้ยาแรงในการกระตุ้นให้แรงงาน “พร้อมปรับตัว” โดยเน้นการสื่อสารให้ข้อมูลและคำแนะนำถึงความจำเป็นที่แรงงานจะปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องพัฒนาทักษะให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง พัฒนาคนแบบ “Demand-driven” คือ มุ่งเน้นสร้างคนที่มีทักษะและความรู้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งขณะนี้ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเร่งพัฒนามาตรฐานฝีมือแรงงานระดับประเทศและสากล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคอุตสาหกรรม และเสริมสร้างศักยภาพให้แรงงานไทยทัดเทียมแรงงานต่างชาติ และสุดท้าย คือ ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อการสร้าง “ทักษะที่ยืดหยุ่น”

“ดิฉันมีความเชื่อมั่นว่า การดำเนินการตามแผนเร่งด่วนที่ทำได้ทันที และการสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งกับไตรภาคี จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาแรงงานไทยก้าวข้ามความผันผวน และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนให้แก่ประเทศชาติได้” นางสาวตรีนุช กล่าวในตอนท้าย
